กระทรวงสาธารณสุขรายงานเมื่อวันที่ 25 ก.ย.ถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในไทยว่า พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ 3 คนในสถานที่กักตัวของรัฐ/ โรงพยาบาลใน จ.ชลบุรี รายที่ 1 เป็นหญิงไทย อาชีพแม่บ้าน อายุ 42 ปี เดินทางจากสหรัฐอเมริกา รายที่ 2 เป็นชายไทย อาชีพรับจ้าง อายุ 42 ปี เดินทางจากสิงคโปร์ และรายที่ 3 เป็นชายไทย อายุ 58 ปี อาชีพรับจ้าง เดินทางจากคูเวต โดยทั้งหมดไม่มีอาการป่วย ทำให้ยอดผู้ป่วยสะสม 3,519 คน รักษาหายจนกลับบ้านได้แล้ว 7 คน รวมกลับบ้านสะสม 3,360 คน ยังรักษาตัวอยู่ใน รพ.100 คน ยอดผู้เสียชีวิตรวมเท่าเดิมคือ 59 คน
อินเดียครองอันดับ 1 เอเชีย
ขณะที่สถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ในเอเชีย ณ วันที่ 25 ก.ย. 3 อันดับแรกที่ติดเชื้อสูงสุด ได้แก่ อินเดีย ติดเชื้อรายใหม่กว่า 8 หมื่นคน ยอดสะสมผู้ติดเชื้อพุ่งไปที่กว่า 5.8 ล้านคน เสียชีวิตเพิ่มกว่า 1 พันคน ยอดสะสมกว่า 9.2 หมื่นคน อันดับสองได้แก่ บังกลาเทศ ติดเชื้อใหม่ 1,540 คน ตายเพิ่ม 28 คน รวมยอดติดเชื้อสะสมกว่า 3.5 แสนคน และตายรวมกว่า 5 พันคน ตามลำดับ อันดับสามได้แก่ ปากีสถาน ติดเชื้อใหม่ 799 คน เสียชีวิตอีก 5 คน รวมยอดติดเชื้อสะสมกว่า 3 แสนคน ตายรวมกว่า 6.4 พันคน ส่วนในอาเซียน ฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย ยังเป็นประเทศที่พบผู้ติดเชื้อรายใหม่นับพันคน โดยฟิลิปปินส์พบผู้ติดเชื้อเพิ่มอีกกว่า 2 พันคน รวมยอดสะสมใกล้ทะลุ 3 แสนคน เสียชีวิตเพิ่ม 36 คน รวมสะสมกว่า 5 พันคน ส่วนอินโดนีเซีย ติดเชื้อเพิ่มกว่า 4.6 พันคน รวมยอดสะสมกว่า 2.6 แสนคน เสียชีวิตเพิ่ม 128 คน รวมยอดสะสมกว่า 1 หมื่นคน ขณะที่เมียนมา นับวันสถานการณ์ยิ่งน่าห่วงเมื่อติดเชื้อเพิ่มกว่า 1 พันคน ภายในวันเดียว ทำให้ยอดติดเชื้อสะสมกว่า 8 พันคน เสียชีวิตเพิ่ม 20 คน รวมยอดสะสม 150 คน ด้านมาเลเซีย ติดเชื้อเพิ่ม 71 คน รวมยอดสะสมกว่า 1 หมื่นคน ไม่มีเสียชีวิตเพิ่ม สิงคโปร์ ติดเชื้อเพิ่ม 15 คน รวมยอดสะสมกว่า 5.7 หมื่นคน ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม ส่วนอีก 4 ประเทศคือ เวียดนาม กัมพูชา บรูไน และลาว ไม่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่และไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม
ส่วนที่กระทรวงกลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวภายหลังการประชุมสภากลาโหมถึงการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 (ศบค.) ในวันที่ 28 ก.ย.นี้ ว่าจะหารือเรื่องการต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน หรือไม่นั้น ว่าเรื่องนี้เคยพูดหลายครั้งแล้วว่า การต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพื่ออะไร ต้องยอมรับว่าการแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังแพร่ระบาดไปทั่วโลก โดยเฉพาะรอบประเทศไทย ซึ่งไทยยังอยู่ในเกณฑ์ดีและได้รับความชื่นชม หลายประเทศได้เอาบทเรียนของไทยไปดำเนินการ แต่ก็ไม่ทัน ซึ่งเราได้กำชับให้มีความเข้มงวด หามาตรการที่เหมาะสม มีการจัดตั้ง ศบค. และ ศบศ. ซึ่งต้องเดินหน้าทั้งเศรษฐกิจด้วย โดยหลายประเทศก็มีการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯในการล็อกดาวน์ เพราะกฎหมายปกติเอาไม่อยู่ ก็ขอให้รอฟังในวันจันทร์ที่ 28 ก.ย.นี้จะมีการแถลงว่าจะมีมาตรการอะไรบ้าง แต่ที่สำคัญคือทุกคนต้องมั่น ใจในระบบสาธารณสุขและเจ้าหน้าที่ของประเทศ แต่วันนี้ขอฝากทำความเข้าใจกับทุกคน หากวันนี้แก้ปัญหาไม่ได้เลย เศรษฐกิจก็จะแย่ไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะระดับล่าง ดังนั้นจะทำอย่างไรให้ทั้งสองอย่างเดินหน้าควบคู่ไปด้วยกันได้ ทั้งสุขภาพและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเศรษฐกิจฐานราก ส่วนการลักลอบข้ามแดนนั้น ได้สั่งการในที่ประชุมสภากลาโหมวันนี้ ทั้งทางบก ทางเรือ ทางอากาศ โดยมาตรการต่างๆ ต้องเข้มงวดควบคู่กันไป
ยังไม่ฟันธงลดวันกักตัว
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงการเปิด-ปิดน่านฟ้าว่าที่ผ่านมามีการหารือกันว่าตอนนี้มีปัญหาเศรษฐกิจ พอจะผ่อนคลายบ้างได้หรือไม่ เพราะยังมีกลุ่มนักธุรกิจที่ต้องเข้ามาดูแลฐานการผลิตในประเทศไทย หากมาในระยะสั้นจะทำอย่างไร ส่วนพวกที่เข้ามาท่องเที่ยวในอนาคตต้องหามาตรการป้องกันเอาไว้ โดยหาสถานที่กักตัวและมีหลายกลุ่ม ทั้งภาคธุรกิจ และการเข้ามาเพื่อรักษาตัว การท่องเที่ยว ซึ่งต้องเตรียมแผนไว้ล่วงหน้า และแก้ปัญหาเชิงรุก รัฐบาลไม่ได้ทำงานแก้ปัญหาไปวันๆ นายกฯ ไม่ได้เป็นแบบนั้น นายกฯ ไม่ใช่คนอย่างนั้น ส่วนที่มีข่าวจะลดการกักตัวเหลือเพียง 7 วัน โดยเฉพาะผู้ที่มาท่องเที่ยว ก็ยังไม่ได้มีการพูดว่า 6 วัน 7 วัน และ 14 วัน ต้องดูว่าเขามาภารกิจอะไร ถ้ามาท่องเที่ยว อยู่ 14 วัน ตรวจสอบคัดกรอง และอยู่ต่อท่องเที่ยวได้หรือไม่ ส่วนที่มาอยู่ไม่กี่วัน เช่น มาตรวจงาน จะทำแบบ ผบ.ทบ.สหรัฐฯ ได้หรือไม่ เพราะถ้าตัวเขามาไม่ได้ ธุรกิจก็เดินไม่ได้ แต่ไม่ใช่ว่าเราทำแล้วเขาจะมา แต่เป็นเพียงการรับมือ สิ่งสำคัญคือประชาชนต้องเข้าใจมาตรการต่างๆที่ออกมา เพราะถ้าเราไม่ปรับตัวก็ไม่ได้อะไรเหมือนกัน
ตากตั้งการ์ดเข้มสกัดโควิด
ส่วนความคืบหน้าการพบชาวเมียนมาติดเชื้อและเสียชีวิตจากโควิด-19 ในพื้นที่จังหวัดเมียวดี ซึ่งติดกับ อ.แม่สอด จังหวัดตากนั้น นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดตาก เปิดเผยว่าขณะนี้ต้องรอการยืนยันผลตรวจและประกาศจากทางการของเมียนมาก่อน คาดว่าขณะนี้ยังอยู่ในขั้นตอนของการสอบสวนโรค โดยไทยมีความร่วมมือกับเมียนมาในการยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทั้งการสนับสนุนเวชภัณฑ์ อุปกรณ์ เครื่องมือทางการแพทย์ให้แก่ โรงพยาบาลใน จ.เมียวดี และโรงพยาบาลแม่สอด ยังช่วยตรวจหาเชื้อจากตัวอย่างสารคัดหลั่งที่ทางโรงพยาบาลใน จ.เมียวดี เก็บตัวอย่างส่งมาให้ และในวันที่ 28 ก.ย.นี้ สภากาชาดไทย จะมามอบอุปกรณ์ช่วยเหลือแก่พื้นที่ 5 อำเภอ ชายแดน ได้แก่ อ.แม่สอด, พบพระ, แม่ระมาด, ท่าสองยาง และอุ้มผาง นอกจากนี้ยังมีความร่วมมือระดับท้องถิ่นที่จะช่วยเหลือคือ มูลนิธิแม่สอดการกุศล ที่จะระดมความช่วยเหลือส่งมอบให้ แก่ จ.เมียวดี โดยจะมีการส่งมอบสิ่งของบนสะพานมิตรภาพไทยเมียนมา ในวันที่ 29 ก.ย. เวลา 16.00 น. ดังนั้นภาพรวม ตอนนี้ถือว่าไม่หนักใจ แต่ก็ไม่นิ่งนอนใจ ทางการไทยยังคงคุมเข้มตลอดแนวชายแดน 542 กิโลเมตร ที่ติดประเทศเมียนมาทั้งด้านฝ่ายทหาร ปกครองและตำรวจ ที่จะพยายามเสริมกำลัง และอุดช่องว่างตามแนวชายแดน ที่คาดว่าจะมีคนลักลอบข้ามมาได้
อสส.ยัน อคส.ไม่เคยส่งสัญญาให้ดู
ต่อมาช่วงเย็นวันเดียวกัน สำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.) ออกเอกสารข่าวชี้แจงวันที่ 25 ก.ย.กรณีสัญญาซื้อขายถุงมือยางขององค์การคลังสินค้าตามที่สื่อมวลชนนำเสนอข่าวกรณี นายวัชระ เพชรทอง ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเกี่ยวกับสัญญาซื้อขายถุงมือยางขององค์การคลังสินค้า สัญญาดังกล่าวทำให้รัฐเสียเปรียบเอกชนจนได้รับความเสียหาย 125,000 ล้านบาท ขอให้สำนักงานอัยการสูงสุดชี้แจงเกี่ยวกับสัญญาขององค์การคลังสินค้าที่รัฐเสียเปรียบเอกชนดังกล่าว สำนักงานอัยการสูงสุดขอชี้แจงว่า ปกติการตรวจร่างสัญญาให้กับส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจต่างๆ เป็นอำนาจหน้าที่ของสำนักงานที่ปรึกษากฎหมายสำนักงานอัยการสูงสุด แต่เกี่ยวกับเรื่องนี้ทางองค์การคลังสินค้าไม่ได้จัดส่งสัญญาดังกล่าวให้สำนักงานที่ปรึกษากฎหมายสำนักงานอัยการสูงสุดตรวจสอบก่อน ดังนั้นข้อมูลที่นายวัชระ เพชรทอง ให้สัมภาษณ์จึงคลาดเคลื่อน ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง สำนักงานอัยการ สูงสุดไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆในการร่างสัญญาหรือตรวจร่างสัญญาดังกล่าว จึงชี้แจงมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน
มะกันพบเชื้อไวรัสกลายพันธุ์
สำหรับสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ในต่างแดน ณ วันที่ 25 ก.ย. ยอดผู้ติดเชื้อทั่วโลกเพิ่มเป็น 32.5 ล้านคน เสียชีวิตรวมกว่า 990,000 คน รักษาหายแล้ว 23.9 ล้านคน โดยที่สหรัฐอเมริกา พบผู้ ติดเชื้อในวันเดียว 38,204 คน ติดเชื้อรวมเพิ่มเป็น 7.18 ล้านคน เสียชีวิตรวมกว่า 207,500 คน ขณะที่รัฐมอนตานา เซาท์ดาโกตา และยูทาห์ พบผู้ติดเชื้อในวันเดียวทำสถิติใหม่ 330 คน 463 คน และ 1,198 คน ตามลำดับ ส่วนสถาบันด้านภูมิแพ้และโรคติดต่อแห่งชาติ เผยผลวิจัยชิ้นใหม่ว่า ไวรัสในสหรัฐฯได้กลายพันธุ์อย่างต่อเนื่อง จนมีคุณสมบัติติดต่อคนได้ง่าย แต่ไม่พบหลักฐานว่า ไวรัสได้เพิ่มอันตรายทำให้ผู้รับเชื้อมีโอกาสเสียชีวิตสูงขึ้น หรือเปลี่ยนคุณสมบัติในเรื่องอาการป่วย
บราซิลเลื่อนจัดงานคาร์นิวัล
ที่อินเดีย จุดศูนย์กลางแพร่ระบาดอันดับ 2 ของโลก พบผู้ติดเชื้อในวันเดียว 86,052 คน สถานการณ์รุนแรงที่สุดในรัฐเกรละ ทางภาคใต้ พบผู้ติดเชื้อในช่วง 2 วันที่ผ่านมา 11,000 คน ส่งผลให้ยอดติดเชื้อรวมของประเทศขยับเป็น 5.82 ล้านคน เสียชีวิตรวมกว่า 92,300 คน ตามด้วยอันดับ 3 บราซิล พบผู้ติดเชื้อในวันเดียว 32,817 คน ยอดติดเชื้อรวมเพิ่มเป็น 4.65 ล้านคน เสียชีวิตรวมเกือบ 140,000 คน และรัฐบาลได้ประกาศเลื่อนการจัดงานเทศกาลคาร์นิวัล นครริโอ เด จาเนโร ในเดือน ก.พ.ปีหน้า อย่างไม่มีกำหนด
ยุโรปจ่อวิกฤติหนักกว่ารอบแรก
ด้านภูมิภาคยุโรป นางสเตลลา ไคเรียคิเดส ข้าหลวงใหญ่ด้านสุขภาพของสหภาพยุโรป ประกาศเตือนว่าการระบาดระลอกใหม่ในยุโรปขณะนี้ เลวร้ายยิ่งกว่าช่วงระบาดรุนแรงในเดือน มี.ค.และมีอย่างน้อย 7 ประเทศที่น่าวิตก รวมถึงสเปนและหลายประเทศในยุโรปตะวันออก ขณะที่กระทรวงสาธารณสุขฝรั่งเศส ตรวจพบผู้ติดเชื้อในวันเดียว 16,096 คน ยอดติดเชื้อรวมเพิ่มเป็นกว่า 497,000 คน เสียชีวิตรวมกว่า 31,500 คน ซึ่งเมื่อวันที่ 23 ก.ย.รัฐบาลบังคับใช้มาตรการปิดผับบาร์ในเมืองท่องเที่ยวมาร์กเซยทางภาคใต้ ส่วนผับบาร์ในกรุงปารีสและเมืองอื่นๆให้ปิดเร็วขึ้น
เมียนมาติดเชื้อกว่าพันคน
ส่วนเว็บไซต์ข่าวอิระวดีของเมียนมา รายงานอ้างข้อมูลกระทรวงสาธารณสุขเมียนมาว่า พบผู้ติดเชื้อในวันเดียวทำสถิติ 1,052 คน ส่งผลให้ยอดผู้ติดเชื้อรวมเพิ่มเป็น 8,515 คน เสียชีวิตรวม 155 คน นอกจากนี้ ยังตรวจพบผู้ติดเชื้อภายในเมืองมัณฑะเลย์ 23 คน ทั้งหมดเป็นพนักงานหญิงของโรงแรมแห่งหนึ่ง ซึ่งมีการระบุว่าเป็นหมอนวดผิดกฎหมาย แต่ทางการมัณฑะเลย์ กลับระบุว่าไม่ทราบเรื่องหมอนวด แต่ยืนยันว่าติดเชื้อจริง และพนักงานในโรงแรมดังกล่าว 150-200 คน จะถูกกักตัวทั้งหมด
จีนเตรียมขายวัคซีนต้นปีหน้า
ขณะที่ความคืบหน้าเรื่องวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ด้านบริษัทเวชภัณฑ์ซิโนแวกของจีน เผยว่าจะยื่นเรื่องขออนุมัติการจำหน่ายวัคซีนในสหรัฐฯ ผ่านองค์การอาหารและยาแห่งชาติสหรัฐฯ (FDA) ทันทีที่ได้ผลสรุปของการทดสอบเฟสสามหรือขั้นตอนสุดท้ายในมนุษย์ พร้อมเชื่อว่าจะสามารถจำหน่ายวัคซีนไปทั่วโลกได้ในช่วงต้นปี 2564 และในช่วงเดือน ก.พ.-มี.ค.ปีหน้าจะผลิตวัคซีนได้หลายล้านโดส ส่วนคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติจีน ระบุว่าโครงการฉีดวัคซีนฉุกเฉิน ที่เปิดทางให้บริษัทเวชภัณฑ์ฉีดวัคซีนแก่พนักงานและประชาชนทั่วไป ทั้งที่ยังทดสอบวัคซีนกันไม่เสร็จนั้น ได้รับการสนับสนุนจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ตั้งแต่ช่วงเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา
ยกเลิก 8 สัญญาซื้อถุงมือยาง
จากนั้นผู้สื่อข่าวรายงานจากกระทรวงพาณิชย์ว่า ตลอดช่วงบ่ายวันเดียวกัน คณะกรรมการองค์การคลังสินค้า (บอร์ด อคส.) ที่มีนายสุชาติ เตชจักรเสมา ประธานบอร์ด ได้ประชุมเพื่อพิจารณายกเลิกสัญญาจัดซื้อถุงมือยาง 8 สัญญา แบ่งเป็น อคส.ทำสัญญาซื้อจากบริษัท การ์เดียนโกลฟส์ จำกัด ปริมาณ 500 ล้านกล่อง ราคากล่องละ 230 บาท รวมมูลค่า 112,500 ล้านบาท และอีก 7 สัญญา อคส.ได้ทำกับผู้ซื้อ 7 ราย เพื่อนำไปส่งออกต่อ และ อคส.ได้โอนเงินมัดจำค่าสินค้า 2,000 ล้านบาท ไปให้การ์เดียนโกลฟส์แล้ว โดยบอร์ด อคส.ได้พิจารณากันอย่างเคร่งเครียดเป็นเวลานานกว่า 5 ชั่วโมง และเสร็จสิ้นเวลา 19.00 น. โดยนายสุชาติกล่าวภายหลังประชุุมว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้ระงับการดำเนินการทั้งปวงที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายดังกล่าว ที่ดำเนินการโดย พ.ต.อ.รุ่งโรจน์ พุทธิยาวัฒน์ อดีตรักษาราชการแทน ผู้อำนวยการ อคส. เพราะถือว่าเป็นการกระทำโดยพลการ และมอบหมายให้ผู้อำนวยการ อคส.ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายและระเบียบข้อบังคับได้ทันที
ระบุสัญญาโมฆะตั้งแต่ต้น
ด้านนายเกรียงศักดิ์ ประทีปวิศรุต ผู้อำนวยการ อคส.กล่าวว่า สัปดาห์หน้าตนจะประชุมวาระเร่งด่วนร่วมกับฝ่ายกฎหมาย เพื่อพิจารณาส่งหนังสือชี้แจงไปยังเอกชนทั้ง 8 ราย อย่างไรก็ตาม สัญญากับ อคส.ดำเนินการกับทั้ง 8 ราย ถือว่าเป็นโมฆะตั้งแต่แรก เพราะ พ.ต.อ.รุ่งโรจน์ไม่ดำเนินการตามระเบียบ ข้อบังคับ และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะพ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 เพราะไม่มีการเปิดประมูล เพื่อแข่งขันกันเสนอราคาขายและซื้อจาก อคส.โดยในส่วนของสัญญาที่ทำกับผู้ซื้อทั้ง 7 รายนั้น มี 5 ราย ที่ อคส.ขายแบบขาดทุน เพราะมีการเสนอราคาซื้อจากอคส.เพียงกล่องละ 210-223 บาทเท่านั้น ขณะที่อคส.ซื้อจากโรงงานผลิตคือ การ์เดียนโกลฟส์ กล่องละ 225 บาท การระงับดำเนินการดังกล่าว ถ้าทั้ง 8 รายจะฟ้องร้อง อคส.ว่าทำให้เสียหายก็ดำเนินการได้ แต่ต้องพิสูจน์กันว่า เสียหายจริงหรือไม่ เพราะในสัญญาเป็นการซื้อเงินสด แต่ขายเงินเชื่อ เหมือนกับกินส่วนต่างกำไรโดยที่บริษัทไม่ได้จ่ายเงินซื้อสินค้าจริงๆ จาก อคส. นอกจากนี้ เอกชนยังไม่มีการวางหลักประกันสัญญา แต่ อคส.กลับเป็นฝ่ายจ่ายเงินมัดจำค่าสินค้าถึง 2,000 ล้านบาทเองด้วย ซึ่งเรื่องนี้ อคส.จะดำเนินการให้ถึงที่สุด เพราะนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ ได้สั่งการให้ดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด
September 26, 2020 at 05:30AM
https://ift.tt/304vr27
จ่อชงลดวันกักตัวเข้าประเทศ พยุงเศรษฐกิจ - ไทยรัฐ
https://ift.tt/3e2ph87
Home To Blog
No comments:
Post a Comment