Pages

Saturday, June 20, 2020

“เต้” ดันสุดตัว เปิดกาสิโน-ขุดคลองไทย หาเงินเข้าประเทศ ปีละ 3 ล้านล้าน ชดเชยพิษโควิด - ผู้จัดการออนไลน์

selasartari.blogspot.com

นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์
“มงคลกิตติ์” ร่ายยาว โควิด-19 ทำรายได้ประเทศหายไป 2-3 ล้านล้านบาท ต้องเร่งหาเงินเข้ามาทดแทนโดยเร่งด่วน ด้วยโครงการสร้างคลองไทย สร้างรายได้อย่างต่ำปีละ 1 ล้านล้านบาท พร้อมเปิดเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ มีกาสิโนถูกกฎหมาย ดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติ สร้างรายได้ปีละ 2 ล้านล้านบาท ล้างหนี้สาธารณะ ดูแลสวัสดิการคนไทยได้ครอบคลุมหมด

วันนี้ (20 มิ.ย.) นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ กล่าวถึงการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจไทยจากวิกฤตไวรัสโควิด-19 ระบาดว่า จากสถิติยอดขายรถยนต์ประจำปี 2562 ในประเทศไทยรวมทั้งปี มีจำนวน 1,007,552 คัน มูลค่ากว่า 521,865 ล้านบาท/ปี ส่งออก 1,054,103 คัน มูลค่ากว่า 545,967.56 ล้านบาท/ปี หลังจากโควิดเข้ามาตั้งแต่ 13 ม.ค. 2563-มิ.ย. 2563 ทำให้ยอดขายรถยนต์ในประเทศทุกประเภทลดลงกว่า 65% ยอดขายต่างประเทศลดลงกว่า 69% เงินหายไปจากระบบธุรกิจยานยนต์-ธุรกิจเกี่ยวเนื่องกว่า ประมาณ 715,000 ล้านบาท ประมาณการภาษีเข้ารัฐหายไปกว่า 150,000 ล้านบาท ซึ่งยังไม่นับรวมธุรกิจส่งออกรายการอื่นๆ ยังมีรายได้จากการท่องเที่ยวที่หายไปกว่า 1.5 ล้านล้านบาท นักท่องเที่ยวหายไปหมดกว่า 20 ล้านคน ธุรกิจโรงแรม ธุรกิจเกี่ยวเนื่องสะดุด กิจการหยุด-ล้มหมด ไปต่อไม่ได้

ดังนั้น การที่รัฐบาลตัดสินใจ ออก พ.ร.ก.กู้เงิน 1.0 ล้านล้านบาท + พ.ร.ก.ปล่อยกู้ solf loan 5 แสนล้านบาท + พ.ร.ก.ซื้อหุ้นกู้ 4 แสนล้านบาท เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะเงินจำนวนนี้กว่า 555,000 ล้านบาท นำไปช่วยเหลือประชาชนโดยตรงที่ต้องหยุดอยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ เป็นแบบให้เปล่าเลยไม่ต้องคืน ส่วนเงินที่เหลือในทั้ง พ.ร.ก. 3 ฉบับ ก็นำไปอัดฉีดเงินเข้าทุกระบบ เพื่อให้ประเทศเดินต่อไปได้ แต่ก็ต้องรอบคอบอัดฉีดให้ตรงจุด เพราะถ้ามีอะไรผิดพลาดก็จะทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มถึง 55-58% ต่อ GDP ชนเพดาน ซึ่งอันตรายมาก แต่ก็จำเป็นต้องเสี่ยงแบบรอบคอบ เพราะรายได้ประเทศไทยหายไปกว่า 2-3 ล้านล้านบาท ดังนั้น ตนจึงอยากให้รัฐบาลเร่งลงมือดำเนินโครงการขุดคลองไทยและการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ อย่างเร่งด่วน โดยใช้วิธีการลงทุนแบบ ให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ Public Private Partnership (PPP) โดยที่รัฐบาลไม่ต้องใช้เงินภาษีไปลงทุน

“ผมเองก็เป็น 1 ใน คณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม สังคม ความมั่นคง และการเมือง คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการขุดคลองไทยและการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งผมก็ผลักดันเต็มตัว ร่วมกับ พล.ต.ทรงกลด ทิพย์รัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และ หัวหน้าพรรคพลังชาติไทย ที่เป็นหัวหอกตั้งแต่ต้น กับ เพื่อน ส.ส. ส.ว. จำนวนมาก อีกทั้งก็มีกลุ่มทุนธุรกิจขนาดใหญ่ต่างชาติ อาทิ อเมริกา จีน มาเลเซีย สิงคโปร์ ฯลฯ สนใจร่วมลงทุนในโครงการดังกล่าว ซึ่งโครงการดังกล่าว จะมีมูลค่าการลงทุนกว่า 2-4 ล้านล้านบาท ในระยะเวลา 5 ปี เกิดการสร้างงาน หลายแขนง ธุรกิจต่อเนื่องอีกหลายธุรกิจ ถ้าทำสำเร็จประเทศไทยจะกลายเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจด้านการขนส่งในทวีปเอเชียอาคเนย์ก็ว่าได้ รายได้ที่จะเกิดขึ้นมีมูลค่าอย่างต่ำกว่าปีละ 1 ล้านล้านบาท

“อีกส่วนหนึ่งที่ต้องผลักดันเพื่อสร้างรายได้ให้ประเทศไทยหลังโควิด-19 จบ มีวัคซีน คือ โครงการสร้างเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ที่มี กาสิโน สวนสนุก โรงแรม และอื่นๆ เปิดกาสิโนถูกกฎหมาย ทั้งเล่นจริงและออนไลน์ เพื่อให้นักท่องเที่ยวต่างชาติกว่าปีละ 40-60 ล้านคน มาใช้บริการ ซึ่งจะทำรายได้กว่าปีละ 2 ล้านล้านบาท ภาษีเข้ารัฐกว่า 1.6 ล้านล้านบาท ไม่ว่าจะเป็นหนี้สาธารณะ 7.0 ล้านล้านบาท หนี้พันธบัตรรัฐบาล สวัสดิการที่ต้องทำให้พี่น้องประชาชนชาวไทย 66 ล้านคน สามารถดูแลได้ทั้งหมด”

นายมงคลกิตติ์ กล่าวต่อว่า ในบทบาทภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกระทรวงอุตสาหกรรมในมุมของตน เราจะต้องผลักดันพัฒนาอุตสาหกรรมไทย นำนวัตกรรมและการตลาดควบคู่ไปในทิศทางเดียวกัน เน้น “ผลิตได้ ขายได้ อยู่ด้วยกันได้” ผลักดัน 1 อุตสาหกรรมจังหวัด 1 สตาร์ทอัป ยกระดับเศรษฐกิจไทย การพัฒนาอุตสาหกรรมไทย ตลาดและนวัตกรรมนำอุตสาหกรรมไทย ตามมาตรการ “ผลิตได้ ขายได้ อยู่ด้วยกันได้” เป็นหนึ่งในกลไกการขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมให้มีศักยภาพ โดยมาจากความสำคัญของ 3 คำ คือ ผลิตได้ คือ ต้องมีการใช้งานวิจัยและพัฒนา นวัตกรรม และเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ ขายได้ คือ ต้องมีการตลาดที่ดีทั้งออนไลน์ (Online) และ ออฟไลน์ (Offline) และอยู่ด้วยกันได้ คือ สินค้าและบริการ ต้องมีคุณภาพและมาตรฐาน ปลอดภัย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ดังกล่าวเป็นการขับเคลื่อนการทำงานร่วมกันกับทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวง เริ่มตั้งแต่สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) ที่ให้ความสำคัญกับเทรนด์โลก เช่น BCG Model หรือระบบเศรษฐกิจชีวภาพ-หมุนเวียน-สีเขียว การสร้างความร่วมมือของโครงข่ายโซ่อุปทาน ปัญหาสิ่งแวดล้อม และการตลาดไร้พรมแดน เป็นต้น กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) และ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เป็นหน่วยกำกับดูแลการประกอบกิจการ ให้ได้คุณภาพ และมาตรฐาน กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) และ สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด (สอจ.) เป็นหน่วยส่งเสริมด้านการผลิตให้มีประสิทธิภาพ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน สามารถขายได้ และไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน และสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ต้องสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานภายนอกทั้งภาครัฐและเอกชน เช่น สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) หน่วยงานด้านวิจัยและพัฒนา และผู้ประกอบการภาคเอกชน เพื่อบูรณาการทำงานให้มีประสิทธิภาพสูงสุด มุ่งสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมไทยได้อย่างยั่งยืน

นายมงคลกิตติ์ กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ เพื่อเป็นการนำอุตสาหกรรมผลักดันเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะท่ามกลางสภาพปัญหาวิกฤตไวรัสโควิด-19 และช่วยรัฐบาลในช่วงภาวะเศรษฐกิจถดถอย จึงได้เตรียมความพร้อมยกระดับการพัฒนา เพื่อเพิ่มรายได้เข้าสู่ประเทศระยะยาว โดยจัดทำโครงการ 1 อุตสาหกรรมจังหวัด 1 สตาร์ทอัป และกำหนดให้มีจังหวัดนำร่องอย่างน้อย 12 จังหวัดทั่วประเทศ ในการสนับสนุนและผลักดันสตาร์ทอัปให้มีการกระจายสินค้าผ่านช่องทางการจำหน่ายที่เป็นของกระทรวง และนำสินค้าไปขายโรงงานขนาดใหญ่ทุกสิ้นเดือน และให้อุตสาหกรรมจังหวัดช่วยหาโรงงานอุตสาหกรรมที่มี Big Brother สามารถใช้เป็นสถานที่จำหน่ายสินค้า ซึ่งจะมุ่งให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายในปีนี้ เชื่อว่า จะเป็นอีกทางหนึ่งที่เป็นการช่วยพยุงผลกระทบทางเศรษฐกิจให้สามารถมีการขับเคลื่อนไปได้ในอนาคต

Let's block ads! (Why?)


June 20, 2020 at 07:21PM
https://ift.tt/2NfLcfG

“เต้” ดันสุดตัว เปิดกาสิโน-ขุดคลองไทย หาเงินเข้าประเทศ ปีละ 3 ล้านล้าน ชดเชยพิษโควิด - ผู้จัดการออนไลน์
https://ift.tt/3e2ph87
Home To Blog

No comments:

Post a Comment